ข่าวผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ จี้รัฐบาลประกาศชัด แหล่งที่มาสารพิษแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย - kachon.com

ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ จี้รัฐบาลประกาศชัด แหล่งที่มาสารพิษแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย
ข่าวประจำวัน

photodune-2043745-college-student-s

วันที่ 12 พ.ค.2568 เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหามลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก ที่เกิดจากกการทำเหมืองเถื่อนบริเวณต้นน้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า ว่าขณะนี้ภาครัฐมีท่าทียอมรับมากขึ้นว่าความขุ่นข้นและการปนเปื้อนสารพิษมีความสัมพันธ์กับเหมืองในพม่า ดังนั้นควรตั้งคณะทำงานเพื่อเจรจาแก้ปัญหาระหว่างประเทศ เพราะเป็นมลพิษข้ามแดน

เพ็ญโฉมกล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการเจรจาจะมีหน่วยงานไหนบ้าง ก็ต้องมาดูว่าผลกระทบมีอะไรบ้าง ผู้แทนไทยที่จะเข้าไปเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนและแก้ปัญหาระยะยาว เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กรมประมง

เพราะเริ่มเห็นความผิดปกติของปลาแต่สาเหตุยังไม่ชัดเจน ซึ่งประชาชนตั้งประเด็นว่าอาจเกิดจากสารพิษในน้ำ ก็ต้องรับฟัง ภาครัฐอย่าเพิ่งปฏิเสธ เนื่องจากเป็นเรื่องมลพิษข้ามแดน

“เมื่อดูเอกสารการตรวจวัดการปนเปื้อนในแม่น้ำทั้ง 2 สายและลำน้ำสาขา รู้สึกว่าภาครัฐยังขาดความตะหนัก และการมองความเชื่อมโยงว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรจะเป็นผลระยะยาว การตรวจพบสารโลหะหนักเป็นตัวบ่งชี้ความเสื่อมโทรมของแม่น้ำ รายงานไม่บอกเหตุผลว่าสาเหตุมาจากอะไร การปนเปื้อนและความเสื่อมโทรมของน้ำที่ต้นน้ำในพม่ามีสาเหตุมาจากอะไร

อยากให้ภาครัฐบอกให้ชัดเจนว่ามาจากเหมืองทอง เพื่อให้การตรวจวัดมีเป้าหมายและมีการเฝ้าระวังต่อเนื่อง หากมีการตั้งประเด็นว่าเกิดจากเหมืองทอง การตรวจวัดเน้นสารโลหะหนัก และต้องดูว่ามีสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับเหมืองทองหรือไม่”ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรนิเวศ กล่าว

เพ็ญโฉม กล่าวว่า การตรวจที่ดำเนินในตอนนี้เป็นแบบเฉพาะกิจ เฉพาะครั้ง และในพื้นที่ที่จำกัด โดยยังไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจนและจริงจังของภาครัฐ ซึ่งควรมีนโยบายจาก ทส.และรัฐบาล ให้มีการเฝ้าระวังพื้นที่เพราะสองฝั่งแม่น้ำกกเป็นพื้นที่เกษตรที่ใช้น้ำจากน้ำกก

“ตอนนี้เรารู้แล้วสารหนูเกินค่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย มีการปนเปื้อนทั้งหมด ดังนั้นพื้นที่เกษตรจะมีการสะสมสารโลหะหนักหรือไม่ ต้องมีนโยบายชัดเจนเร่งด่วน ก่อนสารพิษจะสะสมและหลุดเข้าห่วงโซ่อาหารซึ่งจะลามกระทบในวงกว้างขึ้น”เพ็ญโฉม กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าการเก็บตัวอย่างที่นำมาตรวจควรครอบคลุมแค่ไหน เพียงใด ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรนิเวศ กล่าวว่าจุดเก็บตัวอย่างจะต้องบอกว่ารอบๆ เป็นอะไร เช่น พื้นที่เกษตร พื้นที่ทำประมง หากเป็นพื้นที่เกษตร ต้องระบุแปลงเกษตรว่ามีกี่ไร่ที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำตรงนี้

โดยเฉพาะที่มีสารหนูเกิน ควรตีกริด(ตาราง)ดูว่าการใช้น้ำจากแม่น้ำเป็นอาณาบริเวณแค่ไหน กี่ไร่ ตีกริดเพื่อสุ่มตรวจเก็บตัวอย่างดิน น้ำ พืชผลการเกษตร

เมื่อถามว่าภาครัฐอาจกังวลว่าจะทำให้พืชผลขายไม่ได้หรือไม่ เพ็ญโฉมกล่าวว่า ว่าต้องมองเชื่อมโยงกันหน่วยงานรัฐไม่ต้องการให้พูดเรื่องนี้เพราะอะไร เพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ จึงทำให้ไม่อยากตรวจอย่างจริงจัง หรือกลัวว่าจะสร้างความตื่นกลัว ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งมีปัญหาเรื่องงบประมาณ เพราะการตรวจพื้นที่กว้างใช้งบประมาณเยอะ เราไม่ทราบว่ามีงบเพียงพอหรือไม่ ทั้งที่กรณีนี้ใกล้เคียงภัยพิบัติเพียงแต่ยังไม่ประกาศภัยพิบัติ

เพ็ญโฉมกล่าวว่า ปัจจัยเหล่านี้ต้องชั่งน้ำหนักว่ามากน้อยแค่ไหน การประเมินความเสี่ยงของรัฐ ความกังวลถึงผลกระทบเศรษฐกิจที่กลัวขายพืชผลไม่ได้ ถ้ามีการใช้น้ำแม่กกทำเกษตรแล้วตรวจพบว่าดินและผลิตผลมีการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ เกินค่ามาตรฐานอาหารที่ปลอดภัย รัฐส่วนกลางและท้องถิ่นควรวางแผนหามาตรการเยียวยา เบื้องต้นอาจกินไม่ได้เพราะต้องทำลายทิ้งและเข้าหลักภัยพิบัติ ซึ่งเกษตรกรไม่ได้ทำให้เกิดปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้ามแดนที่รัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือ

“ยกเว้นว่าคุณไม่ให้ความสำคัญต่อชีวิตประชาชน ผลิตผลปนเปื้อนไปแค่ไหนคุณไม่แคร์ คือละเลยความรับผิดชอบ ต้องประเมินว่ารุนแรงแค่ไหน ซึ่งมาตรการทำลายผลิตผลทิ้งจะนำไปสู่กาป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงระยะยาว ต้องพิจารณาว่าจะเยียวยาเกษตรกรที่เสียหายอย่างไรบ้าง เช่น ชดเชยด้วยเงิน ผ่อนผันหนี้สิน เรื่องนี้ต้องใส่ใจ”เพ็ญโฉม กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าแม่น้ำกกมีความยาวในประเทศไทยกว่า 150 กม.ทำให้หลายคนคิดว่าสารโลหะหนักที่ถูกปล่อยมาจากต้นแม่น้ำอาจเจือจางและสามารถใช้น้ำได้ เพ็ญโฉมกล่าวว่า สารบางตัวเจือจางได้ แต่โลหะหนักมากับตะกอนซึ่งเป็นตัวที่อันตรายกว่า ดินโคลนที่พัดมาเมื่อกันยายน 2567 ที่เป็นสึนามิโคลน เราไม่รู้ว่ามีการตรวจหรือไม่

หากพบคือเข้าหลักพื้นที่อันตราย เราไม่ควรให้ดินโคลนนี้กระจายเพราะสารโลหะหนักไม่ได้หายไป แต่สามารถสะสมไปเรื่อยๆ หากนำดินโคลนนี้ปลูกพืชก็จะสะสมในลำต้นออกมากับผลผลิต เมื่อรับประทานก็เข้าสู่ร่างกาย

เมื่อถามอีกว่าฤดูฝนที่กำลังมาถึงหากเกิดน้ำหลากท่วมอีกครั้งแสดงว่าคนในลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสายมีความเสี่ยงต่อสารพิษด้วย ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวว่า ใช่ ดังนั้นต้องยับยั้งที่ต้นทาง มิเช่นนั้นจะมีความเสี่ยงมาก เพราะดินยิ่งเหลวยิ่งอันตราย หากท้องน้ำที่เป็นทรายก็พัดไปได้เรื่อยๆ แต่หากเป็นโคลนก็ยิ่งสะสมมาก ดังนั้นต้องตรวจและวิเคราะห์และควรมีนักวิจัยเข้ามาศึกษาทำการวิจัย

“ตอนนี้ทุกอย่างช้ามาก การปนเปื้อนเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ หากเกิดมา 3 ปีแล้ว (กรณีแม่น้ำสาย) การสะสมของมลพิษก็เริ่มไปแล้ว แต่การเริ่มดำเนินการตอนนี้ดีกว่าไม่ทำ”เพ็ญโฉม กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องการติดขัดงบประมาณมีทางออกหรือไม่ เพ็ญโฉมกล่าวว่า รัฐบาลไทยไม่ให้น้ำหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมมาทุกยุค ในทางตรงกันข้ามกลับพยายามทำให้ปัญหาดูเล็กลง กฎหมายลงโทษต่อผู้ก่อมลพิษน้อยมาก โดยปรับไม่กี่หมื่นบาท เทียบไม่ได้กับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเพราะกลัวว่าผู้ประกอบการรับไม่ไหว แต่ไม่คิดถึงความสูญเสียต่อเกษตรกรและสุขภาพประชาชน

“ความเสียหายแบบนี้ไม่กระทบต่อผู้มีอำนาจ การประกาศเขตภัยพิบัติไม่ง่าย ต้องให้มีผู้ป่วยมากๆ แต่รอให้ถึงเวลานั้นก็จะช้า โลหะหนักจะเข้าถึงตัวคนแล้ว หน่วยงานท้องถิ่นทำอะไรไม่ได้เพราะมีงบประมาณแค่นั้น ทำได้แค่นั้น ต้องจี้ให้รัฐบาลเอางบฉุกเฉินมาใช้ ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งปล่อยแบบนี้ปัญหายิ่งบานปลาย”เพ็ญโฉม กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดทำฝายดักตะกอนบริเวณที่แม่น้ำกกไหลเข้าประเทศไทย เพ็ญโฉมกล่าวว่า ต้องมีการประเมินผลกระทบด้วยว่า จะทำได้จริงหรือไม่ และตะกอนที่ดักได้จะเอาไปทำอย่างไรและจะมีกี่ตัน และต้องขุดลอกความถี่อย่างไร เพราะนั่นจะเข้าลักษณะเป็นของเสียอันตราย ไม่ใช่แค่ทำฝายดักตะกอนแล้วจบ

แต่ต้องทำงานต่อเนื่อง เพราะกรณีตัวอย่างที่คลิตี้ซึ่งมีตะกั่วสูงมาก เมื่อทำที่ดักแล้วคำถามคือจะฝังกลบในพื้นที่หรือนำออกไปกำจัดนอกพื้นที่ เพราะบริษัทที่กำจัดก็มีไม่กี่แห่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูงมาก เมื่อขุดหลุมฝังกลบที่คลิตี้ก็ทำไม่ได้มาตรฐาน ยิ่งทำให้เกิดปัญหาใหม่แพร่กระจายออกไปวงกว้าง ขณะที่เหมืองทองในพม่าใหญ่กว่ามาก

ดังนั้นรัฐบาลไทยปล่อยแบบนี้ไม่ได้ ต้องรีบดำเนินการ เพราะจะกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อนใหญ่ที่สุดในประเทศหากไม่รีบแก้ปัญหา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ลานกิจกรรมสะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย มีกิจกรรม ฮอมปอยนิทรรศการบทสนทนา “ธาราไร้พรมแดน:เสียงจากแม่น้ำกกและชุมชน” โดย นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวเปิดงานว่า แม่น้ำกกคือหัวใจของคนเชียงรายและเชียงใหม่ จึงควรได้รับการอนุรักษ์รักษาไว้และแม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำแห่งอารยะธรรมเพราะอยู่ร่วมกันหลากหลายชาติพันธุ์

โดยทุกๆปีแม่น้ำกกใส แต่ปีนี้ขุ่นข้น เมื่อทราบสาเหตุจากการบอกเล่าของชาวไทใหญ่ที่ต้นน้ำว่าถูกทำลายจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการทำเหมืองที่ไม่มีมาตรฐาน โดยพบสารพิษปนเปื้อนโดยเฉพาะสารหนู

นางเตือนใจกล่าวว่าการแก้ปัญหาคือต้องแก้ที่ต้นเหตุ และปัญหานี้เป็นปัญหายิ่งใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งเจรจากับผู้ที่สร้างเหตุของมลพิษครั้งนี้ การจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้จะต้องจัดกันอย่างต่อเนื่องจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข

ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัดเวทีเสวนาเรื่องอนาคตแม่น้ำกกโดย นายสายยัณน์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตกล่าวว่า ขณะนี้การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เราพบว่าปลาในแม่น้ำกกบางชนิดมีความผิดปกติ จากการเก็บตัวอย่าง 4 ชนิด พบว่าปลาหนัง 2 ชนิดมีความผิดปกติและติดโรค

“ตอนนี้เรารู้ว่าค่าต่างๆเกินมาตรฐาน หน่วยงานต่างๆต้องเข้าร่วมตรวจแล้ว กรมประมงต้องตรวจปลาในลำน้ำกก ลำน้ำสาย ลำน้ำรวก รวมทั้งน้ำอิง น้ำงาวและน้ำโขง โดยตลอดสายแม่น้ำกกจากท่าตอนมาถึงปลายน้ำมีลำน้ำสาขา 28 สาย ซึ่งอนาคตจำเป็นต้องตรวจปลาในลำน้ำสาขาเหล่านี้ด้วย ดังนั้นจึงควรมีศูนย์ตรวจอยู่ที่เชียงราย”นายสายัณน์ กล่าว

นายสายยัณน์กล่าวว่า ควรมีการตรวจเลือดประชาชนด้วยเพื่อวิเคราะห์สารที่ตกค้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นตรวจเลย ขณะเดียวกันคนเชียงรายต้องรวมตัวกันให้มากๆ เพราะมิเช่นนั้น รัฐบาลก็ไม่ให้ความสนใจในปัญหานี้เท่าที่ควร โดยในวันที่ 5 มิถุนายนซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ควรนัดเจอกันหน้าศาลากลาง หากรวมตั้วกันเป็นหมื่นคน เชื่อว่ารัฐบาลคงต้องรีบแก้ปัญหา”

นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคประชาชน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้พาหลานไปเล่นน้ำกก ปรากฏว่าเกิดผื่นขึ้นเต็มตัว จึงลงพื้นที่และนำเรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเข้าไปหารือในสภา ขณะนี้ประชาชนต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

“ผมผลักดันในสภาและติดตามเรื่องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ คณะกรรมาธิการความมั่นคงฯจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามเรื่องนี้โดยมี สส.จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม เป็นประธาน”นายชิตวัน กล่าว

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์การแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีแม่น้ำไหนในประเทศไทยที่น้ำปนเปื้อนสารหนูตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำเหมือนแม่น้ำกก ดังนั้นจึงเป็นปัญหาร้ายแรงและวิกฤตของชาวเชียงราย ทุกวันนี้เขากำลังเปิดเหมืองเถื่อนและเปิดหน้าดิน โดยคนไทยกำลังได้รับสารพิษ

การแก้ปัญหาคือยุติที่ต้นตอที่ปล่อยสารพิษ ซึ่งในหลักการระหว่างประเทศ ที่สามารถนำมาใช้ได้คือ ปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อม 1992 เช่น No Harm Principle หลักการไม่ก่อความเสียหาย Public Participation and Access to Information การมีส่วนร่วมของประชาชนและการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งข้อชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน UNGP on Business and Human Right ที่มีหลักการป้องกัน เคารพ และเยียวยา

“คนเชียงรายต้องโกรธมากกว่านี้ ออกมาๆ เพราะแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำของเราที่ใช้และดื่มกิน เขาทำให้แม่น้ำเราขุ่นขุ้นและเต็มไปด้วยสารโลหะหนัก รัฐบาลปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จำเป็นต้องไปคุยกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นจีน พม่า หรือว้า” น.ส.เพียรพร กล่าว และว่าอนาคตหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขง ต่อไปสารโลหะหนักก็ต้องไปกองตามปากแม่น้ำและที่นั่น ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาด่วน

“มีน้ำแต่ใช้ไม่ได้ ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับชาวเชียงราย ถ้าเกิดในพม่าที่ไม่มีรัฐบาลก็พอรับได้ แต่นี่เกิดในประเทศไทยมที่มีรัฐบาล ดังนั้นวันที่ 5 มิถุนายน ของคนที่ห่วยใยแม่น้ำกกมาเจอกัน”

ในช่วงท้ายการเสวนาได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานแสดงความคิดเห็นโดย วรัญญา พรหมสาขา ณ สกลนคร อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า พื้นที่ ต.ริมกก ไม่ใช้ประปาภูมิภาค แต่ใช้ประปาหมู่บ้าน เราเห็นความตั้งใจของ อบต.ริมกก ที่พัฒนาให้น้ำคุณภาพดี แต่พื้นที่อื่นเกิดการตั้งคำถามว่ามีระบบอย่างไร หลายคนคิดง่ายๆว่าไม่ใช้น้ำประปาจากแม่น้ำกก

แต่ใช้น้ำบาดาลแทน แต่รู้ได้อย่างไรว่าน้ำบาดาลมีคุณภาพดี ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าน้ำจะท่วมอีกหรือไม่ หากน้ำท่วมด้วยปริมาณสารพิษที่เป็นอยู่มาก ความเสียหายจะแค่ไหน

ายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตนเคยเป็นวัฒนธรรมกาญจนบุรี เคยเข้าไปพบชุมชนคลิตี้ซึ่งสภาพธรรมชาติของเขาได้รับสารโลหะหนักเกิดค่ามาตรฐาน จนประชาชนเกิดความพิการ แม่เด็กเกิดใหม่ก็พิการซึ่งน่ากลัวมาก แต่เชียงราย 2 ลำน้ำ ได้รับผลกระทบหมดเลยซึ่งร้ายแรงกว่านั้น อยากให้ตระหนักกันทุกคนและลุกขึ้นมา เพราะแม่น้ำทั้ง 2สายยังไหลลงแม่น้ำโขงด้วย เราต้องมีมาตรการอย่างจริงจังและมียุทธศาสตร์โดยเอาปัญหาเป็นที่ตั้งและวางแผนอย่างเป็นระบบ อยากให้ทุกองค์กรบูรณาการร่วมกัน

ทั้งนี้ในงานยังมีการจัดแสดงภาพวาดแม่น้ำกกโดยศิลปินจากขัวศิลปะ และการแสดงศิลปะแสดงสด performance art จากกลุ่มฮอมจ๊อยซ์ และศิลปินเชียงราย นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีจากวงนาคาสตูดิโอ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจากทางข่าวสดออนไลน์

.......

ศาลาอรุณนราภิรมย์ ศูนยฺ์ร่วมบุญสั่งจองบูชา เหรียญพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นมหาเศรษฐี วัดอรุณราชวราราม(คลิ๊ก)

เนื้อทองแดงหน้าเงินลงยา ขนาด 3.5 เซนติเมตร เหรียญพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นมหาเศรษฐี รายได้สมทบกองทุนการศึกษาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม(คลิ๊ก)

สุดยอดมวลสารในพระผงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นมหาเศรษฐี เนื้อผงพุทธคุณ 108 ชนิดฝังตะกรุดทองคำ 1 คู่ และแบบฝังตะกรุดเงิน 1 คู่(คลิ๊ก)

ชุดกรรมการ จัดรวม 100 ชุด (หมายเลขเดียวกัน) เหรียญพระเจ้าตากสินมหาราช รุ่นมหาเศรษฐี วัดอรุณราชวราราม(คลิ๊ก)

เหตุผลหลักสำคัญในการในการจัดสร้างวัตถุมงคลพญายักษ์วัดแจ้ง รุ่นมหาบารมี เพื่อร่วมบุญสมทบทุนโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์ถนนโบราณและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคภายในวัดอรุณราชวราราม (คลิ๊ก)

ผงพุทธคุณมหาบารมี เศรษฐีพันล้าน สุดยอดมวลสารแห่งยุคที่บรรจุใต้ฐาน รูปหล่อพญายักษ์วัดแจ้ง รุ่นมหาบารมี ขนาด 4 นิ้ว และขนาด 1.5 นิ้ว เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวะแก่เงิน (คลิ๊ก)

ประมวลปาฏิหาริย์แห่งเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชชาววัดอรุณ (คลิ๊ก)

บารมีเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชชาววัดอรุณ รุ่นกรุงธนบุรี เนื้อทองแดงลงยา ลายธงชาติ ช่วยชีวิตหนุ่มใหญ่ให้รอดตายจากเหตุรถพลิกคว่ำหลายตลบพุ่งชนเสาบอกทาง (คลิ๊ก)

บารมีเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชชาววัดอรุณ รุ่นกรุงธนบุรี คุ้มครองชีวิต (คลิ๊ก)