ข่าวคนแจ้งกลายเป็นโจร! "ผกก."ตั้งสอบตร.กรอกเลขบัตรสลับ ทำหนุ่มโดนบริษัทไล่ออก - kachon.com

จากกรณี นายปัญญา อายุ 48 ปี ร้องเพจสายไหมต้องรอด ระบุถูกบริษัทไล่ออกจากงาน เพราะตรวจพบว่าถูกดำเนินคดีลักทรัพย์ทั้งที่ไม่เคยไปขโมยของใคร เมื่อตรวจสอบแล้วพบ ปี 2564 เคยไปแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ แต่ตำรวจเอาเลขบัตรประชาชน 13 หลักไปใส่ในชื่อผู้ต้องหาทำให้ข้อมูลสลับกัน

ล่าสุดเรื่องนี้ วันที่ 19 ต.ค.2566 พ.ต.อ.พัทธนันท์ ทรงสมถวิล ผกก.สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทราบแล้วว่า เป็นผู้เสียหายที่มาแจ้งความที่สภ.บางปะอิน เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ผมจะมาประจำที่นี่ แต่ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วทราบว่ามาแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง

โดยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่บางปะอิน เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนักศึกษาฝึกงานของบริษัทในข้อหาลักทรัพย์ มูลค่าความเสียหาย 2 แสนกว่าบาท ซึ่งคดีนี้ได้สืบสวนจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งศาลฟ้องศาลแล้ว ศาลสั่งจำคุกผู้ต้องหา 1 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี พิพากษาไว้แล้วเมื่อปี 2564 ผู้ต้องหารับสารภาพลักทรัพย์แต่ปฏิเสธรับข้อหาของโจร

พ.ต.อ.พัทธนันท์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เป็นการบันทึกข้อมูลในระบบคราม (CRIMES) ซึ่งเป็นระบบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ใช้ในการตรวจสำนวนคดี และเป็นข้อมูลภายใน ตรงนี้เจ้าหน้าที่ของเราได้ตรวจสอบแล้วสันนิษฐานเบื้องต้นเป็นการลงข้อมูลผิดพลาด

โดยลงชื่อผู้ต้องหาแต่เป็นเลข 13 หลักของผู้เสียหายจึงเกิดการผิดพลาดขึ้น ส่วนเรื่องข้อมูลที่เพจสายไหมต้องรอด หรือผู้เสียหายแจ้งว่า ได้มีการแก้ไขในระบบแล้วจะขอตรวจสอบอีกครั้งว่ามีการแก้ไขเมื่อไหร่ ซึ่งตรวจสอบข้อมูลในระบบทะเบียนประวัติอาชญากรเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้เกิดความผิดพลาด

ความผิดพลาดตรงนี้เกิดจากระบบคราม ซึ่งเป็นข้อมูลภายใน เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ใช้รับรองในการให้บุคคลทำงาน การจะใช้ประวัติเพื่อจะยืนการทำงาน ต้องมายื่นคำร้องที่เราหรือพื้นที่ พื้นที่ก็จะพิมพ์ลายนิ้วมือไปส่งที่ ทว.หรือทะเบียนประวัติอาชญากรรม ว่าคนๆนี้ที่มาพิมพ์มือ มีประวัติหรือไม่ซึ่งจะใช้เวลาสัก 2-3 วัน เราตรวจสอบแล้วข้อมูลตรงนั้นถูกต้อง

พื้นที่ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะเราตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นความประมาทเลินเล่อของบุคคลใด ซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าตรวจสอบแล้วผิดก็ว่าไปตามผิดตามระเบียบต่อไป”