ข่าวปอศ.จับแก๊งล้วงข้อมูลบัตรเครดิต รูดใช้บริการโรงแรมทิพย์ ทำแบงก์สูญ18ล้าน - kachon.com

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2565 พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.สั่งการให้ พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ. , พ.ต.ท.ภูวเดช กุลกะเสวี รอง ผกก.5 บก.ปอศ. , พ.ต.ต.สุทธิพงษ์ จันทพันธ์ สว.กก. 5 บก.ปอศ.นำกำลังตำรวจ กก.5 บก.ปอศ.เปิดปฏิบัติตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ,ปทุมธานี และ สระแก้ว จับกุมกลุ่มมิจฉาชีพนำข้อมูลบัตรเครดิตชาวไทยและต่างชาติมาใช้ผ่านเครื่องรูดบัตรเงินสด เพื่อหลอกเป็นค่าชำระบริการโรงแรม แห่งหนึ่งซึ่งปิดกิจการไปนานแล้ว จนธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตเสียหายเป็นเงินกว่า 18 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2564 มีผู้เสียหายเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.ว่าเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึงวันที่ 8 มิ.ย. 2564 มีกลุ่มคนร้ายร่วมกันฉ้อโกงธนาคารโดยใช้ข้อมูลบัตรเครดิตของผู้อื่น ผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) ทำทีว่ามีนักท่องเที่ยวมาจองเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าโรงแรมดังกล่าวเป็นโรงแรมร้าง ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นเหตุให้ธนาคารได้รับความเสียหายกว่า 18 ล้านบาท

พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ.สั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่รวบรวมข้อมูลจนทราบว่า โรงแรมดังกล่าวชื่อ ทิพย์ปุระ ที่อยู่เลขที่ 90 ถนนเทศบาล12 ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สระแก้ว ซึ่งปิดกิจการไปตั้งแต่ห้วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ในช่วงโควิด 19 ระบาดระลอกแรก เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า กลุ่มคนร้ายได้นำข้อมูลบัตรเครดิตของคนไทยและชาวต่างชาติ มาลงข้อมูลผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต(EDC) กว่า 149 ครั้งในห้วงเดือน พ.ค.ถึง มิ.ย.ทำให้ธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นการชำระค่าที่พักและบริการของโรงแรมจากเจ้าของบัตรจริง ทั้งที่โรงแรมปิดกิจการไปนานแล้ว และเมื่อตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดพบว่า เจ้าของบัตรเครดิตที่ถูกคนร้ายนำข้อมูลมาใช้นั้น ไม่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในห้วงวันเวลาดังกล่าว

ต่อมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด 5 ราย ได้แก่ นางนิตยา (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี,น.ส.ชนิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี,น.ส.ณัฏฐนันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี,นายไพบูลย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี น.ส.ฤทัย (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา และทยอยจับกุมได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ จ.ปทุมธานี และ จ.สระแก้ว พร้อมยึดของกลางเป็นเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) 2 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 20 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 1 ใบคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง และ 6.เอกสารเกี่ยวกับคดี 30 แผ่น

จากการสอบถามผู้ต้องหาบางส่วนให้การรับสารภาพว่า มีนายหน้าคอยหาสำเนาพาสปอร์ต และเลขหน้าบัตรเครดิต วันเดือนปีหมดอายุ และรหัส 3 หลักหลังบัตร นำมาให้เพื่อใช้ทำธุรกรรมกับเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) จากนั้นเมื่อธนาคารโอนเงินเข้ามาแล้วจะนำเงินที่ได้มาแบ่งผลประโยชน์กัน เบื้องต้นแจ้งข้อหา“ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด และร่วมกันฉ้อโกง” ก่อนส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมกระบวนการทั้งหมดต่อไป

พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวเตือนประชาชน อย่าเปิดเผยข้อมูลบัตรเครดิตให้ผู้อื่น โดยเฉพาะเลข 16 หลักหน้าบัตร วันเดือนปีหมดอายุ และรหัส 3 หลักหลังบัตร ซึ่งเจ้าของบัตรสามารถป้องกันได้โดยการตั้งแจ้งเตือนข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือเมื่อมีการทำธุรกรรม และหากตรวจสอบพบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้รีบแจ้งธนาคารเจ้าของบัตรเพื่อระงับบัตรโดยทันที