ข่าวชี้'ปฏิกิริยาเคมี-ร้อนสะสม' ปมเหตุเรือขนสินค้าบึ้มไฟท่วม - kachon.com

ชี้'ปฏิกิริยาเคมี-ร้อนสะสม' ปมเหตุเรือขนสินค้าบึ้มไฟท่วม
ข่าวประจำวัน

photodune-2043745-college-student-s

จากกรณีเกิดเพลิงไหม้ตู้คอนเทนเนอร์บนเรือบรรทุกสินค้าKMTC HONGKONG สัญชาติเกาหลี บริเวณท่าเทียบเรือ A 2 เขตท่าเรือแหลมฉบังหมู่ 10 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จนส่งผลให้มีบางตู้ที่เก็บสารเคมีเกิดระเบิดอย่างรุนแรงทำให้เกิดมลพิษปลิวว่อนไปไกล พนักงานและชาวบ้านนับร้อยถูกหามส่งโรงพยาบาลโกลาหลทั้งยังทำให้ทรัพย์สินโดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดกลางแจ้งเสียหายจำนวนมาก ทั้งยังมีการสั่งอพยพพร้อมประกาศเป็นเขตสีแดง เพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดจากสารเคมีตกค้างในขณะที่ทางตำรวจอยู่ระหว่างเร่งสอบสวนเพื่อหาสาเหตุ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายยุทธนาพูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่าก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าเรือทุกลำที่จะเข้ามาเทียบท่าเรือแหลมฉบังนั้น ทางสายการเดินเรือจำเป็นจะต้องสำแดงเมนเนเฟส(ปริมาณและรายละเอียดของสินค้า) ต่อศุลกากรทุกครั้ง เพื่อทำใบบันทึก สำแดงชนิด และปริมาณของสินค้าด้วยตนเองโดยข้อมูลในเอกสารจะต้องตรงกับข้อเท็จจริงในตู้คอนเทนเนอร์เพราะจะเกี่ยวกับการคำนวณภาษี ที่สำคัญคือเพื่อให้ทราบว่ามีสินค้าอันตรายตามที่องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) กำหนดหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะมีตั้งแต่ระดับ 1-9 ตามความอันตรายแต่ต่างกันออกไปซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะใช้ในการวางแผนจัดลำดับการตั้งวางด้วย


นายยุทธนา กล่าวต่อว่า สำหรับเรือที่เกิดเหตุมีข้อมูลการจัดลำดับการตั้งตู้คอนเทนเนอร์อยู่2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่ต้องนำลงท่าเรือแหลมฉบังและ 2.ส่วนที่จะนำไปลงในท่าเรือถัดไป ซึ่งคือท่าเรือยูนิไทย และท่าเรือในประเทศเวียนนามโดยเรือลำนี้เข้าเทียบท่าขณะบรรทุกตู้สินค้ามาประมาณ 700 ตู้ และจะนำลงที่ท่าเรือแหลมฉบังประมาณ400 ตู้ ส่วนอีก 200 กว่าตู้จะนำไปลงที่ท่าเรือถัดไป ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการนำสินค้าลงโดยมีตู้คอนเทนเนอร์ค้างอยู่บนเรืออีก 38 ตู้ แต่มาเกิดเหตุเพลิงไหม้เสียก่อนขณะมีตู้สินค้าอยู่บนเรือทั้งสิ้น 244 ตู้

ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวอีกว่า สำหรับสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้และระเบิดครั้งนี้ยังไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สำคัญยังเกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าความเสียหายด้วยหากพูดผิดไปอาจทำเข้าใจเกิดการเข้าใจผิดได้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายรอผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการสอบสวนกลางและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน 2 ชลบุรี เพื่อสรุปผลและชี้แจงให้ทราบต่อไป ทางด้านของกรมควบคุมมลพิษ จ.ระยอง รายงานผลการตรวจมลพิษทางอากาศในรัศมีจากจุดเกิดเหตุว่าไม่พบแล้วส่วนมลพิษทางน้ำนั้นที่มีการเก็บตัวอย่างไป 6 จุด อยู่ระหว่างนำเข้าห้องปฏิบัติการทางวิยาศาสตร์แล้วเพื่อวิเคราะห์แยกสารเคมีแต่ละชนิด ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะทราบผลทั้งหมด


ด้าน ร.ท.ยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่าในการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่ามีการระเบิดเพียงครั้งเดียวจากสารแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่าสาเหตุไม่เกี่ยวกับการกระแทกอย่างแน่นอน แต่น่าจะเกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีของออกซิเจนและความร้อนสะสมจนส่งผลให้สารแคลเซียมไฮโปคลอไรต์เกิดการระเบิดขึ้น ในขณะเดียวกันการไม่แจ้งสำแดงสารแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ 13 ตู้ที่จะไปลงที่ท่าเรือถัดไปนั้นถือว่ามีความผิดอย่างชัดเจนแน่นอน สำหรับยอดการร้องทุกข์ของศูนย์บริการผู้ประสบภัยเทศบาลนครแหลมฉบัง มีผู้มาลงทะเบียนแล้ว 1,200 ราย ซึ่งหลังจากนี้จะนำข้อมูลดังกล่าวส่งให้กับทางผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเยียวยา

ในส่วนของ พ.ต.อ.ปรีชา สมสถาน ผกก.สภ.แหลมฉบัง จ.ชลบุรี กล่าวว่าพนักงานสอบสวนเรียกผู้อยู่ในเหตุการณ์เข้ามาสอบปากคำแล้วกว่า 50 คน ซึ่งหากเสร็จเรียบร้อยแล้วจะนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบสำนวนคดีที่ทางคณะกรรมการสอบสวนกลางและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน 2 ชลบุรี ร่วมกันตรวจสอบเพื่อสรุปและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามขั้นตอนต่อไป.


ขอบคุณภาพจาก กู้ภัยสว่างประทีป ศรีราชา