ข่าวอุทยานวิทย์ฯภาคเหนือจับคู่ธุรกิจกับแหล่งทุน - kachon.com

อุทยานวิทย์ฯภาคเหนือจับคู่ธุรกิจกับแหล่งทุน
ข่าวประจำวัน

photodune-2043745-college-student-s

ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ ผอ.อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) กล่าวในฐานะแม่ข่ายดำเนินงานขับเคลื่อนอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือว่า อุทยานฯ ได้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านจับคู่ธุรกิจกับแหล่งทุนในโครงการดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2556 ผ่าน 7 มหาวิทยาลัยในเครือข่ายอุทยานฯ คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม่โจ้ แม่ฟ้าหลวง พะเยา นเรศวร ราชภัฏพิบูลสงคราม และ ราชภัฏอุตรดิตถ์ โดยสามารถช่วยพัฒนาขีดความสามารถของภาคเอกชนไปแล้วจำนวน 380 ผลงาน สามารถสร้างมูลค่าการลงทุนทำวิจัยของภาคเอกชนได้กว่า 123 ล้านบาท เกิดการขยายหน่วยงานวิจัย ในภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจำนวน 54 แห่ง เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 169 อัตรา และสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต ที่พัฒนาเพิ่มขึ้นจากโครงการได้ประมาณ 310 ล้านบาท



ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ กล่าวเพิ่มเติมโดยยกเคสตัวอย่างการพัฒนาต่อยอดธุรกิจผ่านโครงการ IRTC แก่ บริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัด หรือ บุญสมฟาร์มเอกชนผู้เพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองสายพันธุ์ไทยรายแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.สุทัศน์ สุระวัง อาจารย์สังกัดสาขาวิชาเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายเกลียวทองสายพันธุ์ไทยโดยเกิดเป็นผลผลิตนวัตกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสาหร่ายชนิดนี้ด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทขนมขบเคี้ยวจากธัญพืชอบกรอบผสมสาหร่ายเกลียวทองที่มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลายและในปริมาณสูง



ภายใต้แบรนด์ “UNO Ball” พร้อมวางกลุ่มเป้าหมายเพื่อเป็นอาหารเสริมพลังงานให้กับผู้ทำกิจกรรมกลางแจ้งและกลุ่มคนรักสุขภาพ โดยวางจำหน่ายที่ร้าน บุญสมฟาร์มและร้านกรีนคัพ จ.เชียงใหม่ ในระยะแรก ซึ่งสามารถสร้างรายได้เพิ่มแก่เจ้าของธุรกิจได้กว่า 20,000 บาท/เดือน และอนาคตมีแผนการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังกลุ่ม Modern Trade และตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบัน บริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัด ได้ร่วมโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาสาหร่ายเกลียวทองสายพันธุ์ไทยร่วมกับ ผศ.ดร.ยิ่งมณี ตระกูลพัว อาจารย์สังกัดสาขาจุลชีววิทยา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยข้อมูลการวิจัยเผยว่า
จากการวิเคราะห์และทดสอบด้วยวิธี DPPH radical scavenging assay พบว่า สารสกัดจากสาหร่ายเกลียวทองมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี โดยปริมาณสารสกัดสาหร่ายเกลียวทอง 1.21 mg. สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ (จากการเปรียบกับ Gallic acidซึ่งเป็นสารมาตรฐานที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ) และยังช่วยลดการอักเสบของผิว เพราะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งNitric oxide (NO) จากเซลล์ที่เกิดการอักเสบได้



ทั้งนี้ จากผลวิจัยดังกล่าว บริษัทฯ จึงแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มไปยังกลุ่มเครื่องสำอางบำรุงผิวด้วยสารสกัดสาหร่ายเกลียวทอง (Spirogel) และจากการทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 50 คน พบว่า มีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันอยู่ในช่วงการจดทะเบียนเป็นเวชสำอางพร้อมทดสอบตลาดและวางแผนการผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดยหวังว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถตอบโจทย์และเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้กับผู้บริโภคในตลาดสากลได้ด้วยผลงานจากนวัตกรรมไทย