ข่าวรื้อถอน'ปาล์ม'ป่าสงวน แสบปลูกที่ทึบป้องโดรนสำรวจ - kachon.com

รื้อถอน'ปาล์ม'ป่าสงวน แสบปลูกที่ทึบป้องโดรนสำรวจ
ข่าวประจำวัน

photodune-2043745-college-student-s

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 ก.พ. ที่สำนักงานสวนป่าท่าชนะ นายสุชาติ ทับเคลียว ผู้อำนวยการสำนักองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคใต้ (ออป.ภาคใต้) ได้ปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจกรมป่าไม้ ชุดเฉพาะกิจปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าไม้ภาคใต้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด อุตสาหกรรมป่าไม้เขตสุราษฎร์ธานี ทหาร มทบ.45 ฝ่ายปกครอง อ.ท่าชนะ ตำรวจ สภ.ท่าชนะ กว่า 200 นาย เข้าตรวจยึดทำลายรื้อถอนต้นปาล์มน้ำมันที่มีผู้บุกรุกนำไปปลูกในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าชนะ ท้องที่บ้านห้วยเคี่ยม หมู่ 22 ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 7 แปลง เนื้อที่รวม 241 ไร่   

นายสุชาติ กล่าวว่า การเข้ายึดทำลายรื้อถอนผลอาสินดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุราษฎร์ธานีในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าชนะ ตามมาตรา 25 แห่ง พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 หลังได้มีประกาศในพื้นที่เป็นเวลา 60 วัน แต่ไม่มีผู้ใดขออุทธรณ์ จึงต้องดำเนินการรื้อถอนทำลาย โดยในพื้นที่ถูกบุกรุกป่าท่าชนะ ทั้ง 7 แปลงมีต้นปาล์มน้ำมันทั้งหมด 3,010 ต้น มีอายุ 4 เดือน 1,810 ต้น และอายุ 1 ปี 1,200 ต้น รวมจำนวน 165 ไร่ ส่วน 76 ไร่ ยังไม่ได้ปลูกพืชผลใดๆ จากทั้งหมดที่ตรวจยึด 241 ไร่



นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ในการเข้าตรวจยึดรื้อถอนในครั้งนี้พบว่าผู้บุกรุกน่าจะเป็นกลุ่มนายทุนที่มาจ้างวานให้ชาวบ้านปลูกปาล์มน้ำมัน โดยผุ้บุกรุกจะใช้วิธีการปลูกปาล์มน้ำมันแซมไปในป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าชนะ ซึ่งจะไม่มีการล้มไม้ใหญ่หรือใช้เครื่องจักรกล เพื่อหลบหลีกการตรวจพบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ใช้โดรนบินจากที่สูงสำรวจก็จะไม่พบการบุกรุกเพราะกิ่งใบของไม้ใหญ่จะปิดบังไม่ให้เห็นต้นปาล์มน้ำมันที่ผู้บุกรุกเข้าไปปลูก ซึ่งการตรวจยึดครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีเดินเท้าก่อนพบว่ามีการบุกรุกเข้ามาในป่าสงวนจำนวนกว่า 200 ไร่ แต่ละแปลงจะไม่มีการปลูกริมถนน จะไปเริ่มปลูกปาล์มน้ำมันแซมไปกับไม้ยืนต้นต่างๆ ในสวนป่าเป็นแนวยาว คาดว่าหากปาล์มน้ำมันมีอายุมากขึ้นผู้บุกรุกจะเริ่มแผ่วถางตามแนวของต้นปาล์ม ก่อนที่จะทำให้ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ยืนต้นตายไปเอง แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเสียก่อน จึงทำให้ป่าสงวนแห่งชาติไม่ถูกทำลายเสียหายมากเกินไป.