ข่าวว่าที่'ครูสาว'สู้มะเร็งใกล้หาย เพิ่งรู้'พ่อ'โชคร้ายป่วยมะเร็ง - kachon.com

ว่าที่'ครูสาว'สู้มะเร็งใกล้หาย เพิ่งรู้'พ่อ'โชคร้ายป่วยมะเร็ง
ข่าวประจำวัน

photodune-2043745-college-student-s
จากกรณีโลกโซเชียลมีการแชร์บทสนทนาระหว่าง "สาวน้อย" ในชุดผู้ป่วยสภาพไม่มีผม ไม่มีคิ้ว แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "คุณลุง" คนนึง โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก @SF Mildky ได้เล่าและเผยข้อความว่า ลุง : หนูโกนผมทำไม หนู : ผมร่วงจากการให้คีโมเนื่องจากเป็นมะเร็งค่ะ ลุง : แล้วยังเรียนอยู่มั้ย หนู : เรียนค่ะ ตอนนี้เรียนครูไทย ปี 2 ลุง : หนูว่ามันจะหายมั้ย หนู : หายมั้งคะ ถ้าไม่หายจากโรค ก็หายจากโลก ลุง : ลุงเหนื่อยกับชีวิตมากเลย หนู : ปกติค่ะ ขอแค่ลุงสู้เดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะ ให้มันป่วยแค่กาย ใจอย่าป่วยตามก็พอค่ะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง ลุง : หนูไม่กลัวตายเหรอ หนู : แรกๆก็กลัว แต่ตอนนี้ไม่แล้วจะเร็วจะช้าคนเราต้องตายค่ะ ลุง : แล้วไม่ห่วงคนข้างหลังเหรอ หนู : ห่วงค่ะ แต่พ่อสอนหนูอยู่เสมอว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ทำทุกวันให้ดีก็พอค่ะ ลุง : หนูอายุเท่าไหร่ หนู : 19 ปีค่ะ หน้าหนูแก่อ่ะดิ ลุง : ไม่เลย หายไวๆนะหนู หนู : ค่ะ ลุงด้วยนะ หายไวๆ ยาดีแค่ไหนก็สู้ใจเราดีไม่ได้หรอกค่ะ” 

ทั้งนี้บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ. ปี 59 ช่วงหญิงสาวคนดังกล่าวเข้ารับการทำคีโม่แล้ว โดยขณะนั่งกำลังรอพบแพทย์ ได้พบกับคุณลุงที่มาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีเหมือนกัน คุณลุงจึงได้สอบถามว่าโกนผมทำไม จนมีการแลกเปลี่ยนบทสนทนา พร้อมให้กำลังใจซึ่งกันและกัน



ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ผู้สื่อข่าวตรวจสอบและตามไปพบ น.ส.ศุภวีร์ เฟื่องฟู หรือมายล์ อายุ 23 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานีชั้นปีที่ 5  และกำลังเป็นครูฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ อีกเพียง 1 เดือนเศษก็จบการศึกษา โดย น.ส.ศุภวีร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แม่ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ขณะที่ตนเรียนอยู่ชั้น ม.2 จากนั้นช่วง ม.ปลาย ตนมีก้อนเนื้อที่บริเวณลำคอ จึงได้เข้ารับการรักษามาโดยตลอด กระทั่งเข้าศึกษาในระดับชั้นปี 2 ปริญญาตรี ในปี 58 ทราบว่าเป็นมะเร็งระยะ 4 ลามลงจนไปถึงบริเวณไขสันหลัง ต้องรักษาด้วยการทำคีโมและเจาะไขสันหลัง โดยเรียนไปด้วย-รักษาตัวเองไปด้วย ไม่ขอพักการเรียน ซึ่งปฏิบัติตัวตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1.กินอาหารที่ดี ไม่หมักดอง 2.อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ 3.อุจจาระขับถ่ายตรงเวลา 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 5.ทำอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ที่สำคัญต้องไม่เครียด เพราะยาดีแค่ไหน ก็สู้จิตใจเราดีไม่ได้ ทำตอนนี้เชื้อมะเร็งหายไป 2 ปีกว่าแล้ว แต่ยังต้องติดตามอาการไปอีก 1 ปีเศษ หากครบระยะเฝ้าระวัง 5 ปีไม่พบเชื้อจะถือว่าหายขาด

"ขณะนั้นรู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะแม่เคยเป็นมาก่อน จึงรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องพบเจอกับโรคต่างๆที่จะต้องอยู่กับมันให้ได้ ซึ่งตอนนี้ก็พบว่าพ่อได้ป่วยเป็นมะเร็งเช่นกัน กำลังรักษาให้คีโม จึงให้กำลังใจพ่อ พร้อมแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเลยเชื่อว่าพ่อต้องดีขึ้นแน่นอน"  น.ส.ศุภวีร์ กล่าว.