ข่าวอยู่บ้านดีๆรพ.แจ้งไปดูศพตัวเอง วิ่งวุ่นเชื่อถูกสวมบัตร - kachon.com

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นายหมัดโสด สายสะอิด อายุ 41 ปี หรือบังโสด อยู่บ้านเลขที่ 168/1 หมู่5 ต.พะวง อ.เมืองสงขลา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จู่ๆ ก็มีญาติมามาบอกว่า ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลสงขลาว่า ให้ไปดูศพของตนซึ่งเสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล หลังรู้ข่าวแทบช็อกว่าจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อตนเองยังตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้ ตนกับญาติจึงพากันไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูศพปรากฎว่าเป็นชายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่แจ้งข้อมูลกับทางโรงพยาบาลว่าชื่อ หมัดโสด สายสะอิด และเมื่อตรวจสอบบัตรประชาชนก็พบว่า ชื่อนามสกุล ที่อยู่ข้อมูลทุกอย่างบนบัตรประชาชนตรงกันหมดยกเว้นรูปในบัตรเท่านั้น จึงคาดว่าตนเองน่าจะถูกสวมบัตรประชาชนก่อนจะยืนยันตัวตนกับทางโรงพยาบาล ทั้งนี้ตนต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบที่มาที่ไปของชายคนนี้ว่ามาสวมบัตรประชาชนของตนได้อย่างไร 

นายหมัดโสด กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังทราบว่าผู้ตาย ทำงานอยู่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ถนนสะเดา ซอย 5 จึงไปตรวจสอบพบว่าผู้ตายนำบัตรประชาชนในชื่อ หมัดโสด สายสะอิด มาสมัครงานเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดียวกันที่ตนทำบัตรประชาชนหล่นหาย และเมื่อปี 60 ก็มีคนพยายามไปต่อบัตรประชาชนในชื่อนี้ ณ ที่ว่าการอำเภอสทิงพระแต่ไม่ได้สามารถต่อได้เพราะข้อมูลซ้ำซ้อนกับบัตรประชาชนของตนเองที่เพิ่งไปต่อมาก่อนหน้านี้


 
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลของชายที่เสียชีวิตจากทางโรงพยาบาลสงขลาพบว่า หน่วยกู้ภัยของเทศบาลเมืองสงขลาได้ไปรับมาจากวัดแหลมทราย ในเขตเทศบาลนครสงขลา เนื่องจากป่วยหนักและได้บอกว่าตัวเองชื่อ นายหมัดโสด สายสะอิด แต่ไม่มีบัตรประชาชน เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางโรงพยาบาลก็มีประวัติผู้ป่วยชื่อ นายหมัดโส สายสะอิด ที่เคยเข้ารักษาอยู่แล้วด้วยจึงแจ้งเรื่องการเสียชีวิตให้ญาติทราบให้ญาติทราบ โดยขณะนี้ศพของชายคนนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ที่โรงพยาบาลเพราะเป็นศพไร้ญาติ

ด้านนายไชยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองสงขลา เปิดเผยว่า เรื่องนี้จะต้องมีการพิสูจน์ว่าใครคือตัวจริงตัวปลอม โดยจะต้องนำคนที่ยังมีชีวิตอยู่มาสอบสวนและพิสูจน์ รวมทั้งนำพ่อแม่ ญาติพี่น้อง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านมายืนยันซึ่งจะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่สรุปว่ามีการสวมบัตรหรือไม่ ใครเป็นคนสวมใคร และสวมมาจากสำนักทะเบียนไหน กรณีนี้เกิดขึ้นได้ทั้งเรื่องของความบังเอิญ ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ และเจตนาที่จะทุจริตในการสวมตัว แต่เท่าที่พบการสวมบัตรจะไม่สวมกับคนที่มีชีวิตอยู่แต่ละสวมกับคนที่ตายไปแล้ว  ซึ่งเรื่องนี้จะต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงการต่อไป